ป้ายกำกับ

เจ้าที่ ณ ช่องบก จ.สุรินทร์


ปี 2523 ผมรับราชการเป็นทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) สังกัด กองร้อยทหารช่างสนามที่ 2 กองพันทหารช่างที่ 52 กรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็น นขต.กองทัพภาคที่ 1 จัดเป็นทหารช่างระดับเกรด เอ.ของกรมการทหารช่างเลยทีเดียว...เมื่อฝึกเสร็จก็ถูกส่งไปทำงานที่ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี สมัยนั้นกำลังสร้างถนนยุทธศาสตร์เลียบชายแดนระหว่าง อ.โป่งน้ำร้อน - อรัญประเทศ ซึ่งในตอนอยู่ชายแดนนั้น ก็ทำหน้าที่สร้างทาง กรุยทางด้วยแทร็กเตอร์ D8 เกรดให้เรียบลงลูกรังแล้วบดอัดให้แน่น ก็กลายเป็นถนนชั้นดีที่สามารถลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์หนักเบาได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผมจองขาดอยู่หน้าที่เดียว คือหน่วยระวังป้องกัน ทำหน้าที่คุ้มกันให้กับหน่วยก่อสร้าง พวกเพื่อน ๆ และชั้นประทวนตั้งฉายาผมว่า ราวแขวนปืน เพราะไม่ว่าใครจะมีงานที่ต้องทำ 2 มือ หรือเหนื่อยล้าจากการทำงานมา เป็นต้องมาหมดแรงตรงหน้าผมทุกที....แล้วก็พูดว่า..



"เฮ้ย..ฝากปืนหน่อย" แล้วเขาก็เอาปืน เอ็ม.-16 ส่งให้ผม คนที่ 1-2-3-4 เรื่อยไป ผมรับปืนมาก็สะพายเฉียงบ้าง แขวนไหล่บ้าง รวมแล้ว 5-6 กระบอก ปืนของตัวอีกกระบอกหนึ่ง ผบ.ร้อย มาเห็นสภาพของผมแล้วแกหัวร่อก๊าก ตั้งแต่บัดนั้นผมก็เลยได้รับฉายาว่า "ราวปืน" อย่างเป็นทางการ....

เดือน เมษายน 2524 กองกำลังเวียดนาม-เฮง สัมริน ยกกำลังประมาณ 1 กองพัน พร้อมรถถังเบา PT-76 1 คัน รถถังหลัก T-54/55 1 คัน รถบรรทุกติดตั้งเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องแบบคัทยูช่า 2 คัน ล่วงล้ำเขตแดนไทยเข้ามาทางช่องบก อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยเจตนาสะกัดกั้นกองกำลังฝ่ายเขมรแดงไม่ให้หนีการไล่ล่าเข้าเขตไทย ทหารราบจากกองกำลังสุรนารี 1 กองร้อยเข้าผลักดัน แต่ก็ถูกกองกำลังเฮง-สัมรินปิดล้อมไม่สามารถตีฝ่าออกมาได้ แม้กองทัพอากาศจะส่งเครื่องบินโจมตีแบบ OV-10 Brongo และ "ไอ้ปากหมา" O-1 Bird Dog ขึ้นบินกระหน่ำยิงด้วยจรวด 2.75 นิ้ว และทิ้งระเบิดเข้าใส่ที่มั่นของเฮง สัมรินอย่างหนัก แต่ก็ถูกโต้ตอบอย่างหนักจากจรวด SAM และปืนนานาชนิด ด้วยเช่นกัน อีกทั้งภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขา มีเนินใหญ่เล็กซ้อนกันอยู่ ทำให้ฝ่ายผู้รุกรานสามารถใช้เป็นที่หลบหลีกการโจมตีทางอากาศได้แบบไม่ยุ่งยากมากนัก...เหลือเพียงทางเดียวที่จะเข้าเผด็จศึกได้ ก็คือทางพื้นดิน แต่การเคลื่อนกำลังเข้าตีก็ประสบปัญหาจากทุ่นระเบิดจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนฝังกันไว้จนพรุนไปทั้งพื้นที่....

ทหารช่างกองกำลังสุรนารี พยายามเข้าเจาะช่องทางเคลียร์ทุ่นระเบิด เพื่อเปิดทางให้กองกำลังทหารราบและทหารม้าที่คอยทีอยู่บุกทะลวงเข้าบดขยี้ทหารแกว-เฮง สัมรินด้วยแสนยานุภาพเต็มอัตราศึก แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะอำนาจการยิงของฝ่ายแกวนั้นสะแด่วแห้วเหลือหลาย ทหารช่างใช้ลูกบ้าตั้งหลายกระป๋อง พยายามวิ่งสวนลูกปืนไปแกะทุ่นระเบิด แต่...แม๋พระคุณท่านเอ๋ย ฝนใดจะหนักเท่าห่าฝนลูกปืน ทหารช่างเจ้าของม็อตโต้ Firth In Laste Out กระเด็นกระดอนกลับมาแบบต้องทำใจใหม่กันเป็นเดือน

คำร้องขอกำลังสนับสนุนจากกองกำลังสุรนารี ถูกส่งมายังกองทัพภาคที่ 1 อย่างเร่งด่วน ในที่สุดผมก็ถูกปลุกกลางดึกทั้งที่เพิ่งหลับไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทหารช่างจากกองพันที่ 52 สุดยอดนักรบเจ้าของฉายา "ช้างดำ" ผู้อัดลูกบ้าไว้จนทะลุพิกัดได้รับคำสั่งเคลื่อนกำลังเข้าสนับสนุนปฏิบัติการช่องบกอย่างเร่งด่วน ระเบิดแบบบังกาโล ตอร์ปิโดถูกลำเลียงขึ้นคาร์โก้ขนาด 2 ตันครึ่งจนเต็มคัน พร้อมกำลังทหารช่างที่ดีที่สุดของกองทัพไทยอีก 1 กองร้อย เราเดินทางฝ่าความมืดสนิทจาก อ.โป่งน้ำร้อน ผ่านอรัญประเทศ เข้า อ.โชคชัย ถึงจุดหมายปลายทางที่กองกำลังสุรนารี จ.สุรินทร์ เอาตอนช่วงเกือบบ่ายของวันรุ่งขึ้น พวกนายทหารถูกเชิญเข้าห้องรับฟังบรรยายสถานการณ์สรุป ส่วนไอ้เณรอย่างพวกผมเขาจัดข้าวปลาอาหารเลี้ยงเต็มที่ แต่ไม่ให้ออกไปเพ่นพ่านที่ไหน คงหาที่นั่งที่นอนตามชอบใจอยู่ในค่าย ส่วนผมก็จัดการถอดปืน เอ็ม.-16 เอ 1 กระบอกคร่ำคร่าคู่ใจออกมาทำความสะอาดหยอดน้ำมันกันสนิมเช็ดถูอย่างดี ทดสอบการทำงานของลูกเลื่อน และรีคอล์ยอยู่หลายครั้งจนเห็นว่ามันวิ่งได้คล่องไม่ติดขัดก็อุ่นใจ เดี๋ยวเถอะ...ไอ้เพื่อนยาก เดี๋ยวมึงช่วยเป็นพยานให้กูด้วย ว่าเวียดกงที่ไอ้กันกลัวจนหัวหด กับลูกช้างดำผู้เกรียงไกร ใครมันจะแน่กว่ากัน

ย่ำค่ำ เราได้รับคำสั่งเคลื่อนกำลังเข้าสมรภูมิอย่างเงียบเชียบ โดยการจอดรถไว้ที่ อำเภอกาบเชิง และเดินเท้าเข้ายังพิกัดรบ ผมยังคงรับหน้าที่หน่วยระวังป้องกันเหมือนเดิม เดินไปได้พักใหญ่ ก็มีปืน เอ็ม.-16 อีก 3 - 4 กระบอกมาฝากไว้อีก เจ้าของเป็นนายสิบอายุค่อนข้างมากแล้ว แกคงเก็บแรงไว้ลุยกับไอ้แกวมั้ง ผมคิดเงียบ ๆ ไม่ได้โต้แย้งอะไร

เดินไปท่ามกลางความมืดที่มืดเหมือนหลับตา อาศัยแถบเรืองแสงเล็ก ๆ ที่หลังหมวกคนเดินข้างหน้าเป็นที่หมายเหมือนหิ่งห้อยนำทาง คำสั่งถูกส่งมาถึงผมซึ่งรั้งท้ายสุด ให้หยุดพัก 10 นาที ผมเผ่นแผล๋วโจนเข้าข้างทางตวัด เอ็ม.-16 เตรียมพร้อมยิงทันทีในฐานะหน่วยระวังป้องกัน ซึ่งต้องรับผิดชอบชีวิตเพื่อนทหารทั้งหมู่ 30 คน แต่เอ๊ะ ผมแปลกใจว่า ทำไมพื้นดินที่ผมโดดเข้าไปยึดเป็นที่มั่นนี่ มันเตียน ๆ โล่ง ๆ แถมเป็นพื้นหญ้านุ่มนิ่มเหมือนมีคนมาตัดเอาไว้อย่างดี...ที่แปลกไปกว่านั้น พื้นดินยังนูนเป็นลอน ๆ เหมือนแปลงปลูกผัก แต่ไม่ยาวแฮะ สั้น ๆ พอ ๆ กับตัวคนนี่แหล่ะ ผมเลยได้ช่องลงนอนราบหมอบอยู่ในร่องระหว่างเนินขนาบสองข้าง แม๊ะ...มันพอดีตัวเลยเว้ยนี่...เนินข้าง ๆ ก็สูงและหนาพอบังกระสุนได้ ชัยภูมินี้เหมาะจริง ๆ แต่ไม่นาน นายสิบทหารราบเจ้าถิ่นที่ร่วมมานำทางด้วย แกก็เข้ามาอยู่ข้าง ๆ ผมแล้วกระซิบว่า "น้อง ๆ ไม่กลัวเหรอ ตรงนี้น่ะมันหลุมฝังศพ ป่าช้าน่ะน้อง คนอื่นเขาไม่เข้ามาตรงนี้หรอกนะ ผีดุจะตาย"...

....แทนที่จะกลัว ผมกลับคิดไปอีกอย่าง ก็ดีน่ะซี้...เพราะคนที่ถูกฝังอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็คงมีคนที่เสียชีวิตจากการถูกกองกำลังต่างชาติบุกเข้ามาปล้นมาฆ่าบ้าง...ผมก็เลยขอบคุณคนบอก..พลางดึงธูปออกจากล็อกแส็คข้างหลังดอกหนึ่ง ยกมือพนมกล่าวเบา ๆ พอได้ยินว่า "ข้าพเจ้า ผู้มาปฏิบัติหน้าที่เพื่อขับไล่กองกำลังต่างชาติให้พ้นจากแผ่นดินไทย ข้าพเจ้าเป็นคนต่างถิ่น อาจกระทำการล่วงเกินความสงบสุขของท่านผู้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ไปบ้างก็ด้วยความไม่รู้ ขอกราบขมาอภัยต่อท่านทั้งหลาย และขอเชิญดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านผู้เป็นเจ้าที่ เจ้าป่าช้า เจ้าป่า เจ้าเขา ได้โปรดช่วยเหลือข้าพเจ้า ในการขับไล่กองกำลังเฮง สัมรินออกไปจากผืนแผ่นดินไทยโดยเร็ว เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนสู่ประชาชน และดวงวิญญาณทุกดวงที่สิงสถิตย์อยู่ ณ ที่นี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถจุดธูปเป็นบรรณาการแก่พวกท่านด้วยความจำเป็นที่ไม่สามารถเปิดเผยที่ตั้งแก่ข้าศึกได้ โปรดให้อภัย และรับธูปดอกนี้แทนบรรณาการด้วยเถิด"...กล่าวจบผมกลั้นใจปักธูปดอกนั้นบนปลายเนิน ๆ หนึ่ง..ตอนนี้แสงดาวเริ่มกระจ่างพอมองเห็นอะไรเป็นเงาราง ๆ นายสิบทหารราบเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมบอกว่า "ไอ้น้อง..เยี่ยมจริง ๆ พี่ขนลุกซู่ไปหมด ผีที่นี่เขาพร้อมเข้ารบกับเราด้วยแล้ว" ผมถาม "พี่รู้ได้ไง" เขาตอบ "พี่เรียนวิชาทางนี้มา...ตอนนี้ผีทุกตัวทั้งที่ไม่มีฤทธิ์และมีฤทธิ์ มีนายป่าช้ากับเจ้าที่แต่งชุดนักรบโบราณนำมาด้วย โอ...คุมกองทหารผีมาเป็นกองทัพเลย.." แต่ผมไม่ยักเห็นอะไรนอกจากเงาไม้ตัดกับท้องฟ้าเท่านั้นแฮะ...

หมดเวลาพัก คำสั่งเคลื่อนพลมาถึง ผมลุกจากที่ตั้งเป็นคนสุดท้ายตามเคย แต่เอ๊ะ..ทำไมคราวนี้ผมรู้สึกเบาสบาย กระปี้กระเปร่า มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมเหมือนกับเพิ่งกินอิ่มนอนหลับมาอย่างเต็มที่ ทั้งสัมภาระ ปืนอีก 3-4 กระบอก กระสุนมูลฐาน และระเบิดมืออีกสองลูก น้ำหนักรวมกันเกือบ 50 กก. กลับเหมือนกับผมไม่ได้แบกรับอะไรไว้เลย มันเบาไปหมด ทั้ง ๆ ที่ของทุกชิ้นก็ยังคงอยู่ที่ตัวผมครบ ต่างจากตอนที่เดินเข้ามา มันหนักจนแทบเข่าอ่อนไปเลย

เดินไปได้อีกซัก 10 กม. นายสิบสื่อสารก็หมดแรง วิทยุสนามแบบ PRC.-25 ที่หนักถึง 6 กก.ถูกส่งต่อ ๆ กันมาจนถึงผม ผมก็ต้องรับไว้เพราะเดินรั้งท้ายสุด ส่งต่อใครไม่ได้อีกแล้ว ผมสะพายวิทยุเอาไว้ด้านหน้า แต่ปิดเครื่องเพื่อป้องกันข้าศึกดักฟัง
แต่มันก็ยังไม่รู้สึกหนักอีก ผมกลับเดินสบายเหมือนตัวเปล่า..จนเข้าสู่จุดรวมพลที่เนิน 748

ภาระกิจของเราคือ จัดกำลังเข้ากู้ทุ่นระเบิด ที่พิกัด XXXX พร้อมชุดระวังป้องกัน ให้ปฏิบัติการก่อนรุ่งสางเพื่อไม่ให้ข้าศึกไหวตัว ขอให้ทุกคนระมัดระวัง และโชคดี คำสั่งจาก ผบ.ร้อย มาถึงทันที ณ จุดรวมพล เรายังมีเวลาอีก 2 ชั่วโมงก่อนปฏิบัติการ ผมจัดการปลดทุกอย่างออกจากตัว ปูผ้าปันโจกับพื้นแล้วลงนอนก่ายหน้าผากมองท้องฟ้าดูดาว....จะมีแสงแดดสำหรับเราในวันพรุ่งนี้ไหม? ไม่เป็นไร ไม่เห็นก็คือตาย ตายเพื่อชาติ เป็นความตายที่น่าอภิรมณ์ยิ่ง....พ่อครับ..แม่ครับ..ลูกอาจไม่ได้กลับไปกราบเท้าแล้ว ...ถ้าลูกตาย ขอให้พ่อแม่ภูมิใจเถิด ลูกคนนี้ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และได้สร้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูลแล้ว

...เวลา 02.00 น.เมฆกลุ่มใหญ่เคลื่อนตัวบดบังแสงดาวจนมืดสนิทอีกครั้ง เราเริ่มออกเดินทางจากจุดรวมพลด้วยกำลัง 1 หมู่ทหารช่าง 30 นาย คราวนี้เราทิ้งสัมภาระที่แบกมาทั้งหมด นำไปแต่เครื่องมือตรวจหาและกู้ทุ่นระเบิด และอาวุธประจำตัวแค่ปืน เอ็ม.-16 เท่านั้น โดยมีทหารม้า ม.พัน 6 จัดกำลังคุ้มกันสองหมวด เดินทางเข้าสู่ที่หมาย มันมืด และเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหูตัวเองดังวิ๊งๆๆๆๆ ผมลูบ เอ็ม.-16 เพื่อนยากบอกกับมันว่า "เงียบ ๆ อย่างนี้ละมึงเอ๋ย เดี๋ยวได้ยิงกันป่าแตกแน่ อย่าเสือกขัดลำนะมึง ตั้งใจช่วยกูรบหน่อยถ้ารอดตายกลับไปจะหยอดน้ำมันอย่างดีให้เว้ย"...ผมคว้าผ้าพันคอสีดำที่ผมเคยใช้ห้ามเลือดให้จ่าร่วมฐาน ที่แกเดินเหยียบกับระเบิดแบบตลับข้าวซะขาเกือบขาด ดีแต่ที่วันนั้นแกใส่รองเท้าแตะ ถ้าใส่คอมแบตก็ด้วนเรียบร้อยไปแล้ว ผ้าผืนนี้ผมถือเป็นผ้านำโชค เอามันขึ้นมาโพกหัว ไอ้ราวปืนแปลงร่างแล้วโว้ย..ไอ้แกวทั้งหลายเดี๋ยวได้เห็นดีกัน...

เป็นไปตามคาด พอฟ้าเริ่มสาง เสียงปืนจากแนวปะทะแรกก็ดังระงมราวป่า แยกไม่ออกหรอกครับว่าเป็นปืนใครต่อใครบ้าง ผมพยายามเคลื่อนที่ฝ่ากระแสลูกปืนที่ยิงสวนเข้ามาถี่ยิบ แถมหนาแน่นอย่างกับเม็ดฝน เพื่อเสริมกำลังให้แนวปะทะด้านหน้า ผมใช้วิธีเลื้อยไปตามพื้น เพราะโผล่หัวขึ้นมาเป็นเจอลูกทองแดงร้อน ๆ แทนอาหารเช้าแน่นอน เลื้อยไปเลื้อยมา ทำไมเสียงปืนมันเริ่มห่างออกไป ๆ เอ๊ะ...นี่กูเลื้อยออกนอกทางนี่หว่า แล้วมันทางไหนล่ะ แถวนี้ไม่เคยมาซะด้วย...ผมลุกขึ้นนั่งชันเข่าหันรีหันขวางไม่มีใครสักคน มีแต่ผมกับเอ็ม.-16 คู่ใจหัวเดียวโด่เด่...ผมชักเริ่มรู้ว่าหลงทางซะแล้ว แต่จะกลับไปยังไงในเมื่อเรามาตอนกลางคืน ไม่มีแผนที่ เข็มทิศ ไม่เห็นภูมิประเทศอีกด้วย ซวยละกู ตั้งใจมาให้ไอ้แกวฆ่าให้ตาย เจือกจะมาอดตายกลางป่าซะก็ม่ายรู้..เฮ้อ..เวรกรรม...

ทำใจอยู่พักใหญ่ นึกถึงคำกล่าวของนายสิบทหารราบเมื่อคืนได้ แกว่าแกเห็นผีมาช่วยเรารบ เอาวะ...ไร้ที่ซึ่งจะพึ่งพาแล้วตู ธูปก็ไม่ได้เอามา กิ่งสาปเสือแห้งนี่แหล่ะ จัดการหักมากำมือหนึ่ง เอาไฟจุดลนพอเป็นควัน ปากก็พูด "วิญญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าป่าเจ้าเขาที่คุ้มครองลูกในเวลานี้ ลูกหลงทางแล้ว ช่วยชี้ทางกลับสู่สนามรบด้วยเถิด"...

เงียบครับ เงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมชักเริ่มหมดกำลังใจทำท่าจะลงนอน...ทันใดนั้น พุ่มสาบเสือตรงหน้าผมห่างออกไปสัก 20 เมตร ก็ไหวอย่างแรงจนดังกราวเหมือน
มีตัวอะไรกระโจนออกไป ผมคว้าปืนลุกขึ้นย่องออกไปดู พุ่มไม้ที่ห่างออกไปก็ไหวดังกราวอีก พอผมออกเดิน พุ่มไม้ใบหญ้าข้างหน้าก็ลั่นกราว ๆ เป็นระยะ ๆ ไป ผมเดินไปจนถึงเชิงเนินลูกหนึ่ง หูผมได้ยินเหมือนเสียงบอกเบาๆ ข้างหูว่า "หมอบลง"...ผมก็ทำตาม เสียงนั้นก็บอกว่า "คลานไปข้างหน้าเงียบๆ นะ" ผมก็ทำตาม "หยุดตรงนี้" ผมก็หยุดอีก...เสียงนั้นก็เงียบหายไป ผมค่อย ๆ ชำเลืองตามองไปข้างหน้า ไอ๋หย๋า บนยอดเนินข้างหน้าห่างออกไปซัก 15 เมตรเท่านั้น รังปืนไอ้แกวตั้งอยู่ มันเป็น ปตอ.ขนาด 12.7 มม.ของรัสเซียที่สามารถปรับยิงวิถีราบได้ด้วย ผมไม่มีเวลาคิดมาก
ลุกขึ้นสับตีนเข้าใส่รังปืนข้างหน้าอย่างสุดแรงพ่อแรงแม่ที่ให้มา เอ็ม.-16 เพื่อนยากตวาดเสียงดุดันทักทายไอ้แกวออกไปก่อน พวกมันมี 3 คน ร้องได้คำเดียวว่า "ตร่ำเดื๊อก" ก่อนล้มกลิ้งล้มหงายปืน AK.-47 หลุดมือโดยไม่ทันตวัดเล็ง ผมเบรกตัวเองด้วยการโจนลงไปในหลุมปืนของมัน 12.7. ผมยึดไว้ก่อน เอ็ม.-16 เพื่อนยากตวัดสะพายขึ้นไหล่ ผมหมุนปืนกลหนักหันปากกระบอกกลับเข้าใส่พวกมัน บีบคันบังคับปล่อยกระสุนถวายเข้าใส่รังปืนอีกรังชนิดไม่นับนัด โกร๋น ครับโกร๋น รังปืนอีกรังของมันเงียบไป...ผมจึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปดู รังปืนรังนี้ใหญ่กว่ารังแรก มีปืน ค.60 อยู่ด้วย และ จรวด B-40 [RPG.] อีกสองกระบอก...ศพไอ้แกวที่อาการไม่ครบ 32 อีก 5 ศพ ผมชักเหนื่อย...ดูซ้ายดูขวาแล้วไม่มีพวกมันอยู่แถวนั้น..ซักคน ผมเลยย่องลงรังปืนรังที่สอง เสียงกระซิบดังเบา ๆ มาอีกแล้ว " หยิบจรวด..หันมาข้างหลัง" ผมทำตาม ชะเฮ้ย...ช่องเขาข้างล่างนั่น PT.-76 ตัวแสบนี่หว่า มันจอดจังก้าโดยไม่มีทหารคุ้มกัน ป้อมปืนใหญ่ขนาด 3 นิ้วของมันมีพิษสงพอส่งรถถังอเมริกันอย่าง เอ็ม 60 ให้จอดกินข้าวลิงได้ไม่ยาก เล็งตรงไปยังแนวปะทะด้านหน้า แต่ยังไม่ยิง เพราะข้างหน้ายังปะทะยันกันอยู่ ขืนยิงก็อาจพลาดโดนกะโหลกแกวด้วยกันได้ นับเป็นการสิ้นเปลืองทั้งลูกปืนและกำลังพลโดยไม่สมเหตุสมผล...

อาร์พีจี. 7 ถูกผมยัดลูกเข้าล็อกดัง "กริ๊ก" ดึงผ้าเทปถอดฝาครอบปลายลูกจรวดออก ขึ้นนกเรียบร้อยยกขึ้นพาดบ่า ปรับศูนย์เล็งวิถีตรงไปที่ขากรรไกรแก้วของ PT.-76..

.....ฟู่...เควี้ยว...โคล้ง..บึมมม์!!!...

เสียงแรกเป็นเสียงดินชนวนจรวดถูกจุด...เสียงต่อมา คือเสียงจรวดแล่นออกจากลำกล้องส่งควันสีเทาขโมง เสียงโคล้ง คือเสียงที่ลูกจรวดกระทบเข้ากับเกราะเหล็กหนาปึกของรถถัง จากนั้นมันก็ระเบิดขึ้น....พีที.-76 ทรุดยวบหมดสภาพการรบ..ผมได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นเนินมา หลายคน...โยนอาร์พีจี.ทิ้ง....ใส่ลูกใหม่ไม่ทันแล้ว เอ็ม.-16 เพื่อนยากถูกตวัดเข้าใส่ที่มาของเสียงอย่างกะแลกชีวิต ถ้ามึงอยากได้ชีวิตกู ต้องแลกอย่างน้อยสองโว๊ย...

อย่ายี๊งงงงง์ เสียงคนวิ่งนำหน้าร้องมาแต่ไกล ผบ.ร้อย ผมเอง...แกวิ่งนำหน้าทหารม้า ม.พัน 6 ซักสิบกว่าคนขึ้นมาบนเนิน..."โอ้โห ไอ้ราวปืน มึงเหมาคนเดียวรึนี่กูเป็นห่วงมึงแทบตาย ไอ้ข้างล่างก็ปะทะกันใหญ่ แล้วมึงเสือกมาที่นี่ได้ยังไงคนเดียววะ"...ผมยืนนิ่งไม่พูดอะไร แต่อยากบอกกับนายว่า ผมไม่ได้มาคนเดียว ถ้าเจ้าที่เจ้าป่าช้าไม่พาทหารของท่านมาช่วยผมรบด้วย ป่านนี้ท่านคงได้แต่ศพผมกลับไปแล้ว...

การรบวันนั้นฝ่ายเราสามารถยึดพื้นที่คืนจากทหารเฮง สัมรินได้เกือบทั้งหมด สามารถช่วยทหารราบที่ถูกล้อมอยู่เป็นสัปดาห์ออกมาได้ในสภาพซอมบี้ ฝ่ายทหารเฮง สัมรินถอนกำลังหนีเข้าเขตกัมพูชา พร้อมเอาช้างมาลากทรากรถถัง PT.-76 ที่ถูกผมจวกด้วย อาร์พีจี.7 จนกองเป็นเศษเหล็กหนีกลับไปด้วย....

ความดีงามและกุศลทั้งหลายที่ผมได้ทำ ขออุทิศแด่ดวงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่ เจ้าป่าช้า ผู้ได้ร่วมรบชิงผืนแผ่นดินไทยคืนมาจากศัตรูจนเป็น

ข้อมูล เวปพลังจิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เรื่องผี ที่ได้รับความนิยม