ผีสิงบ้านหลวง
Labels:
เรื่องผี
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2538 ที่บ้านพักข้าราชการในจังหวัดอุบลราชธานี สถานที่นี้ก่อตั้งขึ้นมากว่า 50 ปีมาแล้ว คุณพ่อของดิฉันเป็นผู้บริหารสูงสุด มีบ้านพักเป็นเรือนไม้ ใต้ถุนสูง ล้อมรอบ ด้วยหน้าต่างบานสูง มีทางเดินเชื่อมไปสู่ เรือนครัว ลักษณะบ้านคล้ายกับบ้านพัก ตากอากาศชายทะเลสมัยก่อน ตรงข้าม บ้านพักจะเป็นเรือนรับรองรูปแบบเดียวกัน หากแต่ไม่มีเรือนเล็กเท่านั้น บ้านหลังนี้มี 3 ห้องนอน แต่ดิฉัน และน้องสาวนอนรวมกันในห้องเดียวกับพ่อแม่ แม่จึงจัดให้ห้องนอนที่ติดกันเป็นห้องนั่งเล่น และจัดให้ห้องนอนอีกห้องที่อยู่ห่างออกไปเป็นห้องแต่งตัว ซึ่งในห้องนี้เองที่มี โต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณ ทำจากไม้ มีลิ้นชักไว้เก็บของอยู่ 3 ชั้น โต๊ะนี้ เมื่อเราย้ายเข้ามาก็มีอยู่แล้ว เพราะเป็นสมบัติของหลวง ปกติบ้านนี้พ่อแม่อยู่กันสองคนดิฉันกับน้องสาวเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ จะกลับมา ช่วงปิดเทอมเท่านั้น
แรกเข้ามาอยู่ก็ไม่มีอะไร เหตุการณ์ปกติดีทุกอย่าง ต่อเมื่อคุณพ่อได้เดินทางไปราชการต่างจังหวัด ในกลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่ดิฉันกำลังเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงดังกุกกักๆ เป็นเสียงที่ดังมาจากห้องแต่งตัว ดิฉันสะกิดเรียกน้องสาว เราสองคนก็เงี่ยหูฟัง เราคุยกันว่าอาจเป็นเสียงหนูก็ได้
สักพักก็ได้ยินเสียงดึงลิ้นชักแกรกๆ ดึงเข้าดึงออกอยู่นานหลายนาที ตอนนี้เอง ที่เราเริ่มกลัว แต่ไม่มีใครกล้าปลุกแม่ ใจเราตอนนั้นนึกกลัวว่าขโมยขึ้นบ้านมากกว่า รอจนเสียงเงียบไปสักพักใหญ่ๆ เราก็ช่วยกันค้นหาของที่จะใช้เป็นอาวุธได้ รวบรวม ความกล้า ค่อยๆ ย่องตรงไปที่ห้องแต่งตัว ประตูยังคงปิดสนิท
ดิฉันหลับหูหลับตาผลักบานประตูอย่างแรง ในใจคิดว่าเป็นไงเป็นกัน พอลืมตาขึ้น จึงรีบเปิดไฟ ก็เห็นทุกอย่างในห้อง อยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยการรื้อค้นใดๆ เมื่อเปิดดูลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง ก็เรียบร้อยดี ดิฉันกับน้องมองหน้ากัน อย่างงงๆ เราจึงปิดไฟแล้วกลับเข้าห้องนอน
พอหลับไปได้สักพัก ก็ต้องตื่นขึ้น ด้วยเสียงดึงลิ้นชักเข้า-ออกเหมือนเดิม เราสองคนจึงค่อยๆ ย่องไปที่ห้องนั้นอีกครั้ง เสียงลิ้นชักยังคงดังแกรกๆ จนเมื่อดิฉันผลักประตูเข้าไป เสียงถึงได้เงียบลง ไม่มีร่องรอยใดๆ เราสองคนได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
พอกลับเข้านอน สักพักก็ได้ยินเสียงดึงลิ้นชักเหมือนเคย ดิฉันจึงตกลงกับน้องสาวว่าจะไม่ออกไปอีกแล้ว แม้ในใจจะยังนึกกลัวอยู่ แต่ก็พยายามข่มตาหลับ ภาวนาให้ถึง รุ่งเช้าเร็วๆ จนเมื่อคุณพ่อกลับมาแล้ว เราก็ไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง คิดว่าคงไม่มี เหตุการณ์ผิดปกติอะไรอีกแล้ว จนกระทั่ง ท่านเดินทางไปประชุมที่กรุงเทพฯ หลายวัน
ขณะนั้นเป็นเวลากลางวัน ดิฉันอยู่บ้านคนเดียว นอนเล่นดูทีวีอยู่ในห้องนอน จนเผลองีบไป พอตื่นขึ้นมาราวๆ 4 โมงเย็น ก็จะลงไปเดินเล่นข้างล่าง พอเดินผ่าน ห้องนั่งเล่น หางตาก็เหลือบเห็นเก้าอี้นั่งเล่นโยกได้เอง ดิฉันสะบัดหัวไล่ความมึนงง พอชะโงกหน้าเข้าไปดูชัดๆ ก็ไม่ผิดปกติอะไร แต่พอดิฉันหันหลังจะเดินออกมา ก็ได้ยินเสียงโยกเก้าอี้ ดิฉันรีบหันกลับไปมอง
คุณพระช่วย! เก้าอี้นั่นโยกได้เองจริงๆ
ดิฉันก้าวขาแทบไม่ออก พอตั้งสติได้ ก็รีบโกยอ้าวลงไปข้างล่างทันที รอจนกระทั่งแม่และน้องสาวกลับมา ดิฉันจึงเล่าเหตุการณ์ที่ได้เจอมาให้น้องสาวฟัง น่าแปลกที่เมื่อ 2-3 วันก่อน น้องก็เจอเหตุการณ์เดียวกับดิฉัน แต่เธอคิดว่าคงตาฝาดไปเอง เลยไม่ได้เล่าให้ดิฉันฟัง
ถัดมาอีกวัน เมื่อตอนโพล้เพล้คุณแม่ใช้ให้น้องสาวเดินไปตัดใบเตย ที่บ้านพักรับรองฝั่งตรงข้าม ห่างจากบ้านพักของเราแค่เพียงถนนกั้น (ระยะทางประมาณ 30 เมตร) สักพักน้องสาวรีบวิ่งหน้าตื่นกลับมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางเหมือนเจอดีอะไรเข้าให้แล้ว
เธอเล่าว่า ขณะที่กำลังตัดใบเตยอยู่นั้น จู่ๆ คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ ด้านนอกก็หมุนเหมือนเครื่องกำลังทำงาน ขณะที่วิ่งกลับมาบ้าน ยังหันกลับไปมอง เห็นเครื่องยังคงหมุนอยู่ เพื่อพิสูจน์ความจริง ดิฉันจึงชวนน้องสาวเดินกลับไปบ้านพักรับรองอีกครั้ง ในใจคิดว่าอาจจะมีแขกเข้าพัก
พอไปถึง เห็นประตูปิดลั่นกุญแจ แน่นหนาทุกห้อง ดิฉันเอาเท้าแหย่เข้าไป ในช่องใต้ประตู เผื่อจะได้สัมผัสไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เพราะบางทีคนที่เข้าพักล่าสุด อาจจะเปิดแอร์ทิ้งไว้แล้วลืมปิด แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ มาทำความสะอาดและตรวจดูความเรียบร้อยทุกครั้ง บรรยากาศบนบ้านในขณะนั้นวังเวงอย่างไรชอบกล รู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนมีใครกำลังจ้องมองเราอยู่ ดิฉันจึงชวนน้องสาวให้รีบกลับบ้านทันที
คืนวันต่อมา ดิฉันนั่งดูทีวีอยู่คนเดียวจนดึก เวลาขณะนั้นราวๆ เที่ยงคืนกว่าแล้ว ตอนนั้นดิฉันและน้องสาวได้ลูกสุนัขมาเลี้ยงคนละตัว ... ตัวผู้มาเลียมือดิฉันพร้อมครางหงิงๆ ดิฉันรู้ใจ เลยอุ้มออกไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน พอเขาฉี่เสร็จก็วิ่งจู๊ดออกไปที่ถนน ดิฉันก็วิ่งตาม พลางร้องเรียก ในใจเริ่มหวั่นๆ เพราะบรรยากาศเวิ้งว้าง วังเวง แต่ก็เป็น คืนพระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์สาดส่อง ให้มองเห็นรอบๆ ตัว
ดิฉันหยุดยืนที่กลางถนน พยายามกวาดสายตาหาลูกสุนัข ปากก็ร้องเรียกไม่หยุด นึกโมโห เพราะดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว สายลมหนาวพัดมาปะทะหน้าวูบหนึ่ง จนหนาว ยะเยือก สะท้านไปทั่วทั้งร่างกาย
ที่กลางถนนห่างจากที่ดิฉันยืนอยู่ประมาณ 20 เมตร ปรากฏร่างของชายผอม สูง ใส่ชุดสีขาว ยืนตัวตรง จ้องมาทางดิฉัน ซึ่งยืนจังงังเหมือนถูกสะกด ก่อนที่จะเดิน หายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ข้างทาง เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าสุนัขตัวน้อยโผล่มา ดิฉันรีบก้มลงไปอุ้มสุนัขขึ้นมากอดไว้แนบอก แล้ววิ่งขึ้นบ้านด้วยความรวดเร็ว ดิฉันนอนตาค้าง ด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น สงสัยว่าชายชุดขาวนั้นเป็นผู้ใด และมีจุดประสงค์อันใดจึงมา ปรากฏตัวให้ดิฉันเห็น
เหตุการณ์น่าพิศวงที่เกิดขึ้นติดๆ กัน ขอยืนยันว่าเรา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เรื่องผี ที่ได้รับความนิยม
-
เมื่อปี พ.ศ.2549 ช่วงเดือนสิงหาคม ผมได้ไปเที่ยวจังหวัดประจวบฯ ที่อ่าวมะนาว โดยไปกับเพื่อนๆ รวมผมด้วยเป็น 4 คน เป็นผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 2 คน...
-
"ศิษย์อาจารย์ใหญ่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณผู้ห่วงใย ดิฉันมีอาชีพรับราชการ เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคตะ...
-
"หมวยเล็ก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกมีคนไปเผาต้นโพธิ์ในซอย เมื่อปีกลายนี้ครอบครัวหนูย้ายจากเจริญพาสน์ไปอยู่บางยี่เรือ เพราะใกล้ที่ท...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น