"สองแคว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเชียงใหม่
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผี และไม่เคยถูกผีหลอกมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว แต่บทจะเจอก็เล่นเอาแทบช็อกตายคาที่เลยครับ!
เมื่อต้นปีนี้เอง ผมไปเที่ยวเชียงใหม่กับเจ้าต๋อง - เพื่อนสนิทผู้มีอาชีพค้าขายเหมือนกันที่พิษณุโลก สาเหตุก็ไม่มีอะไรมาก เจ้าต๋องถูกหวยใต้ดินมาหกหมื่นบาท มันแทงส่งเดชไปยังงั้นเอง ตรง-โต๊ดตัวละ 100 บาท โชคดีที่เจ้ามือไม่เบี้ยว แต่เพื่อนผมยังไม่วายบ่นออดว่าน่าจะแทงตัวละสี่ซ้าห้าร้อยจะได้รับทรัพย์เป็นแสนๆ บาท จะได้หยุดงานไปเที่ยวฮ่องกงหรือญี่ปุ่นกันซะเลย
นี่แหละครับ ความโลภของคนเรา
เจ้าต๋องชวนผมขึ้นรถไฟไปเที่ยวกัน บอกว่าจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องขับรถขับรา...นับว่ารอบคอบดี เพราะเจ้าต๋องชอบสุราระดับ "ขาเมา" ส่วนผมก็ขับรถไม่เป็น ยิ่งเห็นเขาขับชนกันโครมๆ ยิ่งไม่อยากหัดขับรถให้หวาดเสียวเปล่าๆ
เป็นอันว่าเราได้ไปแอ่วเวียงพิงค์สมใจ โดยมีเพื่อนฝูงแนะนำโรงแรมที่เชียงใหม่ให้ แถมจองไว้ให้เรียบร้อย
เหตุเกิดที่ใกล้ๆ โรงแรมนั่นแหละครับ จากถนนใหญ่เข้าถนนซอยในราว 100 เมตร เป็นโรงแรมเล็กๆ แถมน่ารักมาก เพราะเขาจัดสวนต้นไม้ดอกไม้เอาไว้ร่มรื่นตั้งแต่ทางเข้า มีแมวสวยๆ 2 ตัวนอนเล่นที่เก้าอี้ยาวริมทาง แถมนกขุนทองอีก 2-3 กรงในแมกไม้ร่มครึ้ม พอเดินผ่านก็ได้ยินเสียงทักทายมาเข้าหู
"สวัสดีเจ๊า..." เล่นเอาเราหันขวับ พอมองเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ แวะเข้าไปทักทายมัน นกขุนทองน่ารักเอียงคอมอง แล้วส่งเสียงต่อ "สวัสดีค่ะ" ชัดเจนแจ่มแจ๋วจนเจ้าต๋องจุ๊ย์ปากชมเปาะ
"แหม! มันพูดได้ทั้งภาษาเหนือกับภาษากลางเลยว่ะ"
อ้าว? เสียง "สวัสดีครับ" ดังมาจากใต้ซุ้มไม้ด้านใน...เดากันว่ามันคงได้ยินใครๆ มาทักทายบ่อยครั้งจนจำได้ขึ้นใจ...เราไปรับกุญแจแล้วก็เดินไปที่ห้องใกล้ๆ เคาน์เตอร์นั่นเอง
เป็นห้องเล็กๆ ตั้งเตียงใหญ่แบบโบราณเอาไว้เกือบเต็มห้อง เจ้าต๋องอดหัวเราะไม่ได้ บอกว่าเหมาะสำหรับหนุ่มสาวมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์...ปลายเตียงมีตู้เย็นเล็กๆ ใส่น้ำดื่มกับเบียร์หลายขวด บนโต๊ะเครื่องแป้งก็มีถุงขนมเคี้ยวใส่ตระกร้าไว้ด้วย
เย็นนั้นออกไปกินข้าวซอยกับที่ร้านเสมอใจ ถนนฟ้าฮ่าม มีทั้งหมูสะเต๊ะอร่อยๆ กับแคบหมูจิ้มน้ำพริกอ่องให้แกล้มเบียร์ อิ่มหนำแล้วออกเดินชมเมืองกันเพลินๆ จนไปลงเอยที่ไนท์บาซาร์...โห! นักท่องเที่ยวคึ่กๆ โดยเฉพาะฝรั่งหนาตาที่สุด เสื้อผ้าและของพื้นเมืองเรียงรายละลานตาไปหมด
เจ้าต๋องกับผมใจตรงกัน เลือกซื้อเสื้อผ้าฝ้ายคนละ 2-3 ตัว...เดินย่ำกันทั้งสองฟากถนน ไหนจะมีซอกซอยให้เดินชมอีกหลายแห่ง ฝั่งไนท์บาซาร์เดิมก็มีถึง 2-3 ชั้น ทั้งของเก่าและภาพเขียนสวยๆ จนปาเข้าไป 4 ทุ่มกว่าไม่รู้ตัว
นั่งรถแดง-หรือรถสองแถวคนละ 20 บาทกลับโรงแรม.....ปรากฏว่าเรายังไม่ง่วง แต่ฤทธิ์เบียร์หมดสิ้นไปแล้ว!
"ในตู้เย็นไงวะ" เจ้าต๋องนึกได้ จัดการเปิดออกมาดวดกันจนเกือบสองยาม ...เกิดหิวขึ้นมาเลยโทร.ไปสั่งอาหาร แต่ห้องครัวปิดแล้วครับ...เบียร์ยี่ห้อโปรดก็หมด เลยเปิดประตูออกไปยืนเก้ๆ กังๆ เห็นชายคนหนึ่งนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เก้าอี้ยาวหน้าห้องถัดไป ฝั่งตรงข้ามเป็นซุ้มไม้ครึ้มเชียว...เราปรึกษากันว่าจะออกไปหาอะไรกินกันดีมั้ย?
"ไปเซเว่นซีคุณ..." เสียงดังมาจากหนุ่มใหญ่หน้าตาคมสันที่นั่งสูบบุหรี่ สวมแว่นขาวกำลังมองมายิ้มๆ "ไปถึงถนนใหญ่อยู่ทางซ้ายมือ หรือจะไปทางขวาก็ได้ พอถึงสี่แยกก็เลี้ยวซ้าย"
ผมขอบอกขอบใจเขา...หันไปมองสบตากันแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเห็นพ้องด้วย ปัดยุงที่ไต่ตอมแล้วเข้าไปหยิบกุญแจออกมาปิดประตู ชายคนนั้นกำลังก้าวเข้าห้องพอดี...เรามุ่งหน้าออกไปตามถนนที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวอยู่ในแสงไฟ...มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นตะบึงผ่านไป ไม่ช้าก็ออกมาสู่ถนนใหญ่ หันมองร้านค้าที่เรามุ่งหน้ามา แต่ก็ยังมองไม่เห็นวี่แวว
รถแดงว่างๆ โฉบมาพอดี เราเลยบอกจุดหมายให้...ค่อนข้างไกลโข แต่เจ้าต๋องก็ได้เบียร์มา 4 ขวดใหญ่ ของขบเคี้ยวที่เป็นกับแกล้มหลายถุง ผมได้ซาละเปาที่คนขายจัดการเข้าตู้อบให้เรียบร้อย...
จ่ายเงินแล้วเราก็ผลักประตูออกมา...อากาศเย็นยะเยือกจับใจ มองไม่เห็นผู้คนจนน่าใจหาย บนถนนก็ดูเหมือนจะมีแต่ความว่างเปล่า มองหารถแดงก็ไม่เห็นซักคันเดียว
"เดินเถอะวะเรา" เจ้าต๋องหันมาเลิกคิ้ว "หนาวๆ แบบนี้คงไม่เหนื่อยหรอกน่า...เดี๋ยวก็ถึง..."
เสียงมันขาดหายไป นัยน์ตามองผ่านผมไปทางขวามือ เมื่อหันมองตามเพื่อนก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังแล่นมา...ชายคนขับไม่ได้สวมหมวกนิรภัย มองเห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตาหลังแว่นขาวจ้องมองเราเหมือนจะทักทาย ก่อนจะผ่านหน้าไปอย่างเชื่องช้าราวกับภาพสโลว์โมชั่น
"เฮ้ย..." เจ้าต๋องคราวอ๋อย ปล่อยถุงเบียร์หล่นจากมือ ผมเองก็ไม่รู้สึกม่านตาพร่าพรายไปพักใหญ่ ได้ยินเสียงขวดแตกดังแว่วๆ เต็มที...เราคงจะเมาทั้งคู่จนเห็นว่าชายที่ขับรถผ่านเป็นคนๆ เดียวกับที่เราเพิ่งเห็นเปิดประตูเข้าห้องไปหยกๆ ที่โรงแรม...
ทุกวันนี้นึกถึงใบหน้าที่ยิ้มกว้างแล้วยังขนลุกเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น