"ตรีณา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของคนไม่เชื่อเรื่องผี
ดิฉันไม่เคยเชื่อว่าเรื่องภูตผีปีศาจมีจริง นอกจากเรื่องเหลวไหล ไร้สาระที่มีแต่เด็กๆ กับคนหัวโบราณ งมงายเรื่องอาถรรพณ์ ปาฏิหาริย์ จิตอ่อน อารมณ์อ่อนไหว เชื่อคนง่าย เห็นอะไรก็คิดว่าเป็นภูตผีไปหมด
คนประเภทนี้มักชอบสะกดจิตตัวเอง ขาดความเข้มแข็ง เชื่อมั่น อยากเห็นในสิ่งที่ตัวเชื่อ ก็เท่านั้นเอง!
แม้แต่จะได้พบกับเหตุการณ์สยดสยองด้วยตัวเองมาแล้ว ดิฉันก็ยังไม่อยากเชื่อเรื่องผี...ส่วนคำตอบแท้จริงจะเป็นอย่างไร ขอบอกว่าไม่ทราบจริงๆ ค่ะ
เพื่อไม่ให้เสียเวลาของท่าน ดิฉันขอเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่ประสบมาให้ท่านฟังเลยนะคะ
เมื่อครั้งเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง ฟองสบู่แตกใหม่ๆ ดิฉันกับเพื่อนร่วมงานโชคดีที่บริษัทของเราเป็นปึกแผ่นมั่นคง ไม่ต้องปลดพนักงาน หรือให้พนักงานลาออกโดยมีเงินล่อใจ 6-8 เดือน ดิฉันต้องคอยปลอบใจเพื่อนๆ ที่ทำงานบริษัทอื่น...แม้แต่ทำงานแบงก์ก็ไม่วายมีผลกระทบค่ะ
ไม่ทราบจะให้กำลังใจอะไรดีไปกว่า ชีวิตก็อย่างนี้แหละ! ทุกข์กับสุข สมหวังกับผิดหวัง หัวเราะและน้ำตาเป็นของคู่กันเสมอมา
บางครั้งก็ปลอบว่า...ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้กลุ้ม! จงพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส! ถ้าคิดว่าตัวเองตกอยู่ในความมืดมนที่สุด นั่นแหละแปลว่ากำลังจะมองเห็นแสงเรืองรองรอคอยอยู่ข้างหน้าแล้ว
ก่อนอรุณจะรุ่งย่อมมืดสนิทเสมอ!
หลายๆ ครั้งก็พลอยเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ไปกับพวกเขาด้วย...พูดน่ะง่ายนะคะ แต่ทำยาก เหมือนความเครียด ก็ชอบบอกกันง่ายๆ ว่า "อย่าเครียด" หรือ "เลิกเครียด" ราวกับความเครียดเหมือนไฟฟ้าที่จะกดสวิตช์เปิด-ปิด ได้ตามใจชอบ
ต้อม-คือเพื่อนรุ่นน้องที่โดนผลกระทบจากฟองสบู่แตกกลายเป็นคนตกงาน
ชีวิตบางคนก็อาภัพ โชคร้ายอย่างเหลือเชื่อมาตลอด เหมือนต้อมที่เป็นลูกกำพร้าเพราะพ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เล็กๆ มีป้ากับลุงเลี้ยงดูมาอย่างจำใจจนเรียนจบ ต้อมต้องทำงานบ้านเหมือนคนรับใช้ทั้งเช้าและเย็น เสาร์อาทิตย์อย่าหวังเลยว่าจะได้ไปเที่ยวเตร่ เปิดหูเปิดตาอย่างเพื่อนๆ
เมื่อมีงานทำก็พอดีลุงเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ ป้าก็เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะจนต้องออกจากงาน คนทั้งสองไม่มีลูก ต้อมต้องทำงานหนักทั้งในบ้านและนอกบ้านยิ่งกว่าตอนเรียนหนังสือด้วยซ้ำไป!
"คิดว่าใช้ชาติ ใช้เวรใช้กรรมกันค่ะพี่อ๋อย" เธอบอกดิฉันยิ้มๆ แต่แววตาแห้งผากน่าใจหาย "ชาตินี้ใช้กรรมให้หมด เกิดชาติหน้าเผื่อจะสบายกับเขามั่ง"
ถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า แต่ดิฉันก็นิ่งฟังเงียบๆ เพราะรู้ดีว่านั่นเป็นการปรับทุกข์ ระบายความอัดอั้นกับใครสักคนที่ไว้วางใจ แม้ว่าจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรก็ตาม...แต่ต้อมทำงานหนักได้ราว 3-4 ปีก็ต้องตกงานเพราะปัญหาฟองสบู่แตก
ดิฉันไปเยี่ยมเธอที่บ้านในซอยอารีย์ พร้อมด้วยอาหารทั้งสดและแห้งค่อนข้างมาก เราสบตากันเงียบๆ โดยไม่จำเป็นต้องพูดจาอะไรฟูมฟาย...ต้อมบอกว่าป้าเธอนอนหลับอยู่ชั้นบน ส่วนเธอกำลังคิดว่าจะฆ่าตัวตายด้วยวิธีไหนดี?
บอกตรงๆ ว่าดิฉันแทบจะช็อก เพราะรู้ว่าต้อมไม่ได้พูดเล่น แล้วเรื่องราวของเธอก็พรั่งพรูออกมา
ต้อมคบเพื่อนชายชื่อโอม อยู่บริษัทเดียวกัน เมื่อเธอตกงาน แต่โอมรอดตัวได้ ความสัมพันธ์ขาดไปโดยสิ้นเชิง...ขณะที่ต้อมรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน!
ปัญหาหนักอึ้งแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรือจะแก้ไขได้รวดเร็วเพียงลัดนิ้วมือเดียว ดิฉันพูดจาหว่านล้อมให้นึกถึงป้าที่เลี้ยงดูมา นึกถึงตัวเองที่ยังสาว...โดยเฉพาะนึกถึงลูกในครรภ์ที่ไม่ได้รู้เรื่องราวด้วยเลย คนเราไม่มีสิทธิ์ทำลายชีวิตใครแม้แต่ลูกตัวเอง
ตลอดเวลา ต้อมนิ่งเงียบ ใบหน้าสงบราวรูปสลัก นัยน์ตาแดงช้ำแต่แห้งผาก บางครั้งมุมปากก็เผยอยิ้มนิดๆ คล้ายจะเยาะหยันโชคชะตาที่เล่นตลกไม่จบสิ้น
"มีอะไรให้ช่วยก็บอกมา" ดิฉันจับมือเธอไว้ "พี่เต็มใจช่วยทุกอย่าง"
น้ำตาใสๆ ไหลรินลงมาตามร่องแก้มเธอ ต้อมบีบมือดิฉันพลางพึมพำเสียงแหบแห้ง...มีอะไรต้อมจะบอกพี่อ๋อยเป็นคนแรกค่ะ!
หลังจากนั้นอีกไม่นาน ดิฉันก็ฝันถึงต้อมเป็นครั้งแรกในชีวิต...
ในฝันนั้น ดิฉันเห็นต้อมนอนหงายอยู่เตียงติดกับผนังขาวโพลน เธอกำลังเอียงหน้ามามองด้วยนัยน์ตาเปียกชุ่ม ฉายแววเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส...ท้องที่แบนแฟบกลับพองอืด...สูงขึ้นๆ ทุกทีเหมือนคนท้องแก่ใกล้คลอด!
แต่ท้องนั่นก็ยิ่งขยายใหญ่จนน่าสยอง ไม่มีวี่แววว่าจะจบสิ้น ก่อนจะระเบิดตูม เลือดสาดกระจาย ทารกตัวแดงๆ ผุดโผล่ขึ้นมายืนจังก้า ท่ามกลางม่านตาพร่าพราย จนดิฉันกรีดร้องสุดเสียง ลุกผวาขึ้นมากุมหน้าอก หัวใจเต้นกระหน่ำราวจะพังทลายไปบัดดล
รุ่งขึ้นรีบโทร.ไปหาต้อมแต่เช้า...เธอไม่ได้ฆ่าตัวตายหรอกค่ะ แต่ไปทำแท้งกับหมอเถื่อน กลับมาตกเลือดตายที่บ้าน...ป้าของเธอก็ช็อกตายอยู่หน้าห้องต้อมนั่นเอง
ดิฉันคิดว่าเป็นกระแสจิตตัวเองมากกว่าเรื่องผี จนกระทั่งเผาศพป้าหลานไปแล้ว เห็นข่าวและภาพโอมขับรถพุ่งชนเสาไฟฟ้าตายคาที่คืนเดียวกับเผาศพต้อม ดิฉันก็ยังคิดว่าเป็นความบังเอิญ...แต่ทำไมขนลุกก็ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ!
ใบหนาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น