ยังไม่ถึงเวลาตาย
Labels:
เรื่องผี
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนบ้านของผม มันอาจฟังดูเหลือเชื่อสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับบางคนแล้วผมว่าต้องมีใครซักคนที่เคยประสบพบเจอเหตุพิศดารนี้มาบ้างแล้วโดยเฉพาะผู้ที่รอดตายมาอย่างไม่คิดว่าจะรอด....
เมื่อ 3 วันก่อนผมรู้สึกใจหายแบบไม่คิดไม่นึกมาก่อน เพราะยายข้างบ้านมาบอกให้ผมรู้ด้วยอาการเศร้าเสียใจว่าไอ้เอกเพื่อนซี้สุดที่รักของผมมันตายอย่างกระทันหัน และที่น่าแปลกก็คือการตายของมัน คือนอนอยู่ดีๆเหมือนคนปกติแต่บังเอิญไม่ตื่นเลย(ไหลตาย)
ผมเสียใจมากไม่เคยนึกเคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเกิดขึ้น เพิ่งเห็นหน้ากันอยู่หลักๆเมื่อวานมาวันนี้มันมาตายเอาง่ายๆ ศพมันนนอนอยู่ท่ามกลางครอบครัวที่ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร ผมเลยขอดูหน้ามันเป็นครั้งสุดท้ายเลยไปเปิดผ้าที่คลุมหน้ามันออก ตอนนนั้นผมพูดไม่ออกเลย ดูหน้ามันเหมือนกับจะบอกว่าตัวมันเองยังไม่อยากตายตอนนนี้ ผมตัดใจหันหลังจากมัน แต่แล้วมันก็เกิดเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดมาได้
ไอ้เอกมันตลุกพรวดขึ้นมาอย่างกระทันหันด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกมีเหงื่อไหลช่มทั่วตัว ตอนนนั้นผมสะดุ้งเฮือกเลย ครอบครัวมันเห็นก็เปลี่ยนจากอาการเสียใจเป็นอากานตกใจไปตามๆกัน เอกยื่นมามาจับแขนไว้แน่นแล้วบอกกับผมว่า "เขาปล่อยเรามา เขายังไม่ให้เราตาย" ผมและครอบครัวมันต่างมองหน้ากันงุนงงในคำพูดมัน แล้วมันก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันหลังจากที่มันได้ไหลตายไปได้สักพักว่า "พอเรารู้สึกตัววว่าตัวเองตาย มันก็ไม่น่าเชื่อสายตาตัวเองว่าเราจะมาตายเอาอย่างนี้ เราอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ยืนมืนงงอยู่เพียงลำพังเพราะปวดหัวมาก และอากาศรอบข้างนั้นหนาวมากหนาวเหมือนตัวจะกลายเป็นน้ำแข็งเลย แต่แล้วท่ามกลางความมืดก็มีแสงสว่างจ้าขึ้นมาทันใด แสงนั้นปรากฏขึ้นพร้อมชายร่างสูงใหญ่ทะมึน2คน พวกเขาแต่งกานแบบคนโบราณคือนุ่งโจงกระเบนแดงและไม่ใส่เสื้อ ที่มือถือหอกขนาดใหญ่ พวกเขาจ้องมองมาทางเราแล้วจับมือเราลากตัวเราม่งหน้าเข้าแสงสว่างที่ๆเขาปรากฏตัวมาทันที เราทั้ง 3 ผ่านเข้าไปในอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนกับอุโมงค์แต่มีแสงวับๆแวมๆ7สีอยู่ตลอดทาง อุโมงค์นั้นยาวมาก แต่แล้วเราทั้ง 3 ก็เห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายสุดของอุโมงค์นั้น เรามุ่งเข้าไปยังแสงสว่างนั้นทันใด
และแล้วเราทั้งสามก็หลุดจากอุโมงค์นั่นไปอีกที่หนึ่ง ที่รู้ๆที่นั่นงดงามมาก เป็นดินแดนสีขาวที่มีแต่หมอกควันจางๆปกคลุมไปทั่ว พอหมอกจางลงหน่อยๆเราก็เห็นแม่น้ำใสสะอาดสายใหญ่มาก ยาวไปจนสุดขอบตาเลย ที่ริมแม่น้ำน้นมีดอกบัวดอกใหญ่ขึ้นอยู่เต็มไปหมดกลิ่นของมันทำให้ใจเรารู้สึกใสสะอาดและสงบอย่างน่าประหลาด
และแล้วชายร่างใหญ่ทั้งที่พาเรามา(คือ ตอนนั้นเรารู้อยู่แก่ใจแล้วว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกข้ารับใช้ยมบาลอะไรทำนองน้นแต่ไม่กล้าเอ่ยปากพูด) เขาบอกให้เราไปนั่งรออยู่ที่ศาลาทรงไทยริมแม่น้ำสายใหญ่นั้น ศาลานั้นเป็นศาลาทรงไทยมีมีรุปทรงโปร่งสูงและสวยงามมากเกินกว่าที่มนุษย์จะเป็นคนทำ ผมเลยไปนั่งรอบนศาลาริมน้ำนั้น ผมเอะใจถามเขาว่า"ที่นี่ที่ไหนครับ แล้วพวกท่านจะพาผมไปไหนครับ" พวกเขามองหน้าผมแล้วตอบออกมาว่า "ถ้าอยากรู้จะบอกให้ ที่นี่เป็นแม่น้ำแห่งโลกวิญญาณ เป็นรอยต่อระหว่างภพมนุษย์กับภพยมโลก ถ้าข้ามแม่น้ำไปก็จะเป็นนรก" เขายังบอกอีกว่า "เจ้ารอพวกข้าอยู่ที่นี่ก่อนห้ามไปไหนเด็ดขาด อย่าคิดที่จะหนี ถึงเจ้าจะหนีพวกข้าไปได้แต่เจ้าก็หนีความตายของเจ้าไม่ได้ และที่สำคัญหากมีผู้พายเรือที่แม่น้ำมาจอดที่ศาลานี้เจ้าห้ามลงไปในเรือกับเขาเด็ดขาดจนกว่าข้าจะสั่ง" แล้วพวกเขาก็หายตัววับไปทันที และอย่างที่เขาว่า สักพักมีคนพายเรือแจวมาทันที เป็นยายแก่หนังเหี่ยวย่นอายุประมาณว่า 100 ปี ใส่ชุดคลุมสีดำพายเรือมาจอดที่ท่าศาลา
เขาถามเรามาว่า "พร้อมจะไปหรือยังล่ะ" ผมก็บอกออกไปว่า "เขายังไม่มาสั่งเลย" แล้วยายแก่นั่นก็พายเรือหายไปในกลุ่มหมอก สักพักพวกยมบาลนั่นก็มา แล้วเดินมาบอกเราด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเหมือนมีเรื่องดีจะมาบอก แล้วเขาก็พูดกับผมว่า "เจ้าน่ะยังไม่ถึงเวลาตาย มาได้ไกลสุดก็แค่ที่นี่แหละ พวกที่หลับตาย(เขาคงจะหมายถึงพวกคนที่ไหลตาย) น่ะส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เวลาตายจริงๆหรอก แต่พวกเขาเหล่านั้นบังเอิญไปขึ้นเรือที่พายมารับโดยไม่ฟังคำสั่งของข้าน่ะเลยได้ไปนรกสมใจอยาก เอาล่ะเจ้าน่ะกลับไปได้แล้ว" ผมถามเขาว่าจะกลับไปได้ยังไง เขาก็ตอบมาว่า "แค่หลับตาแล้วนึกถึงครอบครัวนึกถึงคนที่เรารักแล้วท่องนะโม 3 จบ เจ้าก็จะกลับไปอย่างปลอดภัย ไปเถอะ" ท้ายสุดนี้เขาบอกกับผมว่าให้ไปบอกคนที่เรารู้จักว่าอย่าทำชั่วนัก ให้หมั่นทำแต่ความดี เมื่อตายไปเขาจะได้ไปยังที่ๆเขาอยากจะไป ไม่ต้องมาที่นี่
เราทำตามวิธีที่เขาบอกแล้วเราก็กลับมาได้ มันเล่าให้ฟังแค่นี้แหละและมันก็ตื่นขึ้นมาได้ ทุกคนในครอบครัวมันต่างก็ดีใจพากันกอดด้วยความสุข ผมดีใจมากที่รู้ว่าโลกหลังความตายนั้นไม่ได้โหดร้ายน่ากลัวอย่างที่คิด ยังมีความถูกต้องและเที่ยงธรรมอยู่ตลอด ท้ายสุดนี้ผมขอให้ทุกคนทำแต่ความดี แล้วจะเกิดผลดีแก่ตัวท่านเอง เพราะเราไม่รู้ว่าช้าหรือเร็วที่เราจะได้ไปเจอกับพวกเขาเหล่านั้น...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เรื่องผี ที่ได้รับความนิยม
-
เมื่อปี พ.ศ.2549 ช่วงเดือนสิงหาคม ผมได้ไปเที่ยวจังหวัดประจวบฯ ที่อ่าวมะนาว โดยไปกับเพื่อนๆ รวมผมด้วยเป็น 4 คน เป็นผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 2 คน...
-
"ศิษย์อาจารย์ใหญ่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณผู้ห่วงใย ดิฉันมีอาชีพรับราชการ เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคตะ...
-
"หมวยเล็ก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกมีคนไปเผาต้นโพธิ์ในซอย เมื่อปีกลายนี้ครอบครัวหนูย้ายจากเจริญพาสน์ไปอยู่บางยี่เรือ เพราะใกล้ที่ท...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น